เก็บตก 5 ประเด็นหลังเกมสุดระทึก แมนฯ ยูไนเต็ด เฉือนจุดโทษ ทะลุชิงเอฟเอคัพ

ไบรท์ตัน โชคร้าย แมคไกวร์ ติดโทษแบน

เก็บตก-5-ประเด็น

เกมนี้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่มีชื่อของ แฮร์รี แมคไกวร์ เจ้าพ่อคอนเทนต์จากการโดนแบนหลังจากได้รับใบเหลืองสะสมครบกำหนดจากเกมที่เอาชนะ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ สัปดาห์ก่อน

ซึ่งกลายเป็นข่าวดีสำหรับสาวก ปีศาจแดง และเป็นข่าวร้ายสำหรับ ไบรท์ตัน เพราะหากดูรูปเกมที่ ทัพนกนางนวล นวดยับขนาดนี้ ถ้าเป็น แมคไกวร์ จับคู่กับ ลินเดเลิฟ อาจโดนไม่ต่ำกว่า 3 เม็ดก็เป็นได้

ดูจากรูปเกมในนัดนี้ได้อารมณ์เหมือนการดู ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ไม่มีผิดเพี้ยน ที่เกมคู่คี่สูสีแถมเป็น ไบรท์ตัน ที่ครองบอลบุกเข้าใส่ได้มากกว่าด้วยซ้ำ

ซึ่งต่างฝ่ายต่างพยายามเปิดแลกกันอยู่สนุกและทีมของ โรแบร์โต้ เดอ แชร์บี้ ก็สู้ได้ดีเล่นได้อย่างไหลลื่นดุดันขาดก็แต่เพียงความเฉียบคมในจังหวะสุดท้าย แน่นอนว่าหากทีมชุดนี้ยังอยู่ครบและได้ตัวดี ๆ เข้ามาอีกสัก 2-3 รายในช่วงซัมเมอร์ บอกเลยว่าทรงนี้ลุ้นแชมป์ก็ยังได้

แม้ว่านัดนี้ ปีศาจแดง จะได้ขุมกำลังในแดนกลางกลับมาครบพร้อมหน้า แต่ดูเหมือนว่าการใช้งาน กาเซมิโร จับคู่ เอริคเซน ผลงานยังไม่ค่อยเข้าตานัก เพราะโดยธรรมชาติ เอริคเซน ก็ไม่ใช่ตัวรับหรือมีจุดเด่นในการไล่บอล

ส่วน กาเซมิโร ก็เจองานหนักกับการรับมือทั้ง มอยเซ ไซเซโด้ และ อเล็กซิส แมค อัลลิสเตอร์ ที่ฟอร์มกำลังเข้าฝักและยิ่งอดีตมิดฟิลด์ เรอัล มาดริด ไปโดนใบเหลืองตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรก ทำให้ต้องระวังในการตัดเกมมากกว่าเดิม ซึ่งนั้นทำให้ ไบรท์ตัน ดูจะเล่นได้ง่ายขึ้นจนคุมเกมกลางสนามเอาไว้ได้ดีกว่าตลอดทั้งเกม

เมื่อเกมเดินทางมาถึงการดวลจุดโทษชี้ขาด นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ ดาบิด เด เคอา ยังคงเซฟไม่ได้แม้แต่ลูกเดียวแม้จะมีโพยให้ดูแบบคนต่อคน แต่ก็ยังพุ่งผิดแทบทุกลูก เลยชักไม่แน่ใจว่าคนจดโพยไปเอาข้อมูลมาจากไหน

แต่ยังดีที่คนยิงสังหารไม่พลาดเลยแม้แต่คนเดียว ส่วน ไบรท์ตัน ก็เป็นฝ่ายยิงโด่งข้ามคานออกไปเองจนพ่ายแพ้ไปในที่สุด

และแล้วเราก็ได้ 2 คู่ชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ฤดูกาลนี้ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นคู่ชิงในฝันเลยก็ว่าได้สำหรับศึก แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ ระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด และ แมนฯ ซิตี้

แน่นอน เรือใบสีฟ้า ดูจะข่มเล็ก ๆ ในเรื่องของผลงาน แต่อย่าลืมว่าเกมล่าสุด ปีศาจแดง ก็เคยยิงแซงเอาชนะในลีกมาได้เช่นกัน แถมเกมนัดเดียวรู้ผลที่เต็มไปด้วยความกดดันแบบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ ฉนั้น 3 มิถุนายน 21.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ห้ามพลาด!

อัพเดทข่าว เพิ่มเติม : แมนยูฯ” ปาดหน้าทุกทีมคว้าแชมป์ “พรีเมียร์ลีก”